เด็กหนุ่มวัย 16 ปี ใช้เงินมากกว่า 7 หมื่น กระตุ้นกระดูกเพิ่มส่วนสูง ทำมาครึ่งปีคิดว่าได้ผล ผ่านไป 2 สัปดาห์ หดเหลือเท่าเดิม
ภาพจาก : QQ.com
วันที่ 23 กันยายน 2568 เว็บไซต์มาเธอร์ชิป เผยเรื่องราวของเด็กหนุ่มวัย 16 ปีรายหนึ่งในประเทศจีน เมื่อเร็ว ๆ นี้เรื่องราวของเขากลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์บนสังคมออนไลน์ ภายหลังจากเขาตัดสินใจเข้ารับกระบวนการเพิ่มความสูง ภายในระยะเวลา 6 เดือน ส่วนสูงของเขาเพิ่มขึ้นมา 1.4 เซนติเมตร แต่ต่อมาอีก 2 สัปดาห์ เขากลับตัวหดลงมาเหลือเท่าเดิม
ตามรายงานของสื่อท้องถิ่นเผยว่า เด็กหนุ่มรายนี้นามสกุลหวง ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ถึงสิงหาคม 2568 ครอบครัวได้พาเขาไปรักษาตัวที่คลินิกแห่งหนึ่งในเมืองเซี่ยเหมิน ประเทศจีน โดยทุก ๆ สัปดาห์ หรือทุก ๆ 2 สัปดาห์ ทีมแพทย์จะดำเนินการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์กระตุ้นกระดูกหัวเข่าของเขา เพื่อยืดให้ส่วนสูงของเขาเพิ่มขึ้น
ภายในระยะเวลา 6 เดือน ดูเหมือนว่าผลการดำเนินการจะประสบความสำเร็จ โดยพ่อของหวงเผยว่า ลูกชายมีส่วนสูงเพิ่มขึ้นมา จาก 165 เซนติเมตร เป็น 166.4 เซนติเมตร แต่ปรากฏว่าหลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการได้เพียง 2 สัปดาห์ ความสูงของหวงกลับลดลงไปเท่าเดิม
ภาพจาก : QQ.com
ทางครอบครัวของหวงจึงร้องเรียนไปยังสถาบันที่ดำเนินการ แต่ทางเจ้าหน้าที่กลับให้เหตุผลกลับมาว่า “เขาอายุมากเกินไป” และ “การรักษายังไม่สมบูรณ์” และเสนอที่จะคืนเงินเต็มจำนวน แต่ทางพ่อของหวงกลับรู้สึกไม่พอใจ โดยชี้ว่าทางเจ้าหน้าที่ควรแจ้งความจริงให้เร็วกว่านี้
อย่างไรก็ตาม อวู่ เสว่เหยียน แพทย์ด้านต่อมไร้ท่อประจำโรงพยาบาลวิทยาลัยการแพทย์ปักกิ่งยูเนียน กล่าวว่า การยืดร่างกายไม่ใช่วิธีทางวิทยาศาสตร์ที่จะเพิ่มความสูงได้โดยถาวร แต่เพิ่มความสูงในระยะสั้น ๆ ได้ประมาณครึ่งถึง 1 เซนติเมตร
อวู่ ยกตัวอย่างว่า “ในตอนเช้าคนเราจะสูงกว่าตัวเองในตอนบ่าย เนื่องจากน้ำหนักตัวทำให้กระดูกสันหลังสั้นลงในระหว่างวัน ส่วนในตอนกลางคืน กระดูกสันหลังจะคลายตัว ส่งผลให้ความสูงเพิ่มขึ้น“
ภาพจาก : QQ.com
“มนุษย์ไม่ใช่เส้นบะหมี่ การยืดตัวให้ยาวขึ้นนั้นไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์” อวู่ กล่าว พร้อมทั้งเสริมว่า วิธีที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มความสูง คือการออกกำลังกาย เพราะสามารถเพิ่มระดับฮอร์โมนการเจริญเติบโตได้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม
หลังจากเรื่องราวถูกถกเถียงในวงกว้าง ผู้ใช้โซเชียลต่างพากันเข้าไปแสดงความคิดเห็น กล่าวทำนองว่า “ถ้าวิธีการนี้ได้ผล คงไม่มีคนตัวเตี้ยอีก” และ “น่าเสียดายที่บางคนใช้ความวิตกกังวลของพ่อแม่มาหลอกเอาเงิน” ขณะที่บางรายก็เรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาควบคุมดูแลการดำเนินการ เพื่อไม่ให้เกิดการเอาเปรียบประชาชน
ขอบคุณข้อมูลจาก : Mothership, South China Morning Post