เนสท์เล่ แถลงชี้แจง หลังศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามผลิต จำหน่าย นำเข้า โดยใช้เครื่องหมาย เนสกาแฟ จนคนหวั่นอาจขาดตลาด เผยที่มาที่ไป เกิดอะไรขึ้น ?
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
ภาพจาก Mashka / Shutterstock.com
จากกรณี ศาลแพ่งมีนบุรี ได้ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามมิให้เนสท์เล่ ผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูป โดยใช้เครื่องหมายการค้า Nescafé ในประเทศไทย ส่งผลให้เนสท์เล่ไม่สามารถรับคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์เนสกาแฟจากร้านค้าต่าง ๆ ได้ จนเกิดความกังวลว่า “เนสกาแฟ” จะขาดตลาดในไทยหรือไม่ บ้างก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่นั้น
ล่าสุด (9 เมษายน 2568) “เนสท์เล่” ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจง ระบุว่า เนสท์เล่ได้แจ้งยุติสัญญาที่ให้สิทธิ บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ในการผลิตเนสกาแฟในปี พ.ศ.2564 ซึ่งการยุติสัญญามีผลสมบูรณ์ทางกฎหมายโดยคำตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการสากล โดยมีผลเป็นการเลิกสัญญาตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2567
จากนั้น นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ
ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นในบริษัท QCP
ได้ฟ้องร้องต่อศาลแพ่งมีนบุรีเพื่อให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว
และศาลแพ่งมีนบุรี ได้ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามมิให้เนสท์เล่ ผลิต
ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูป
โดยใช้เครื่องหมายการค้า Nescafé ในประเทศไทย
โดยที่เนสท์เล่ยังไม่มีโอกาสเสนอข้อเท็จจริงต่อศาลก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งดังกล่าว
แต่เนสท์เล่ก็ให้ความเคารพต่อกฎหมายและได้ปฏิบัติตามคำสั่งศาลฉบับนี้
ทั้งนี้ เนสท์เล่ กำลังดำเนินการยื่นคัดค้านต่อศาล
พร้อมยื่นข้อมูลที่ครบถ้วนแก่ศาลแพ่งมีนบุรี
เนสท์เล่ เป็นเจ้าของแบรนด์เนสกาแฟแต่เพียงผู้เดียว โดยตั้งแต่ปี พ.ศ.2533
จนถึง พ.ศ.2567 ผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ ได้ผลิตในประเทศไทยผ่านบริษัท ควอลิตี้
คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ซึ่งเป็นบริษัทที่ร่วมทุนแบบ 50/50
ระหว่างเนสท์เล่และตระกูลมหากิจศิริ ซึ่งมีคุณประยุทธ มหากิจศิริ
เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น
ภายใต้สัญญาการร่วมทุนนี้
เนสท์เล่ มีอำนาจในการบริหารงาน การผลิต การจัดจำหน่าย
รวมทั้งการทำการตลาดผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ
โดยเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตเนสกาแฟนั้นเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของเนสท์เล่
ภายหลังการยุติสัญญา
ผู้ถือหุ้นของบริษัททั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงเรื่องการดำเนินงานในอนาคตของบริษัท
ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด ดังนั้น เมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2568
เนสท์เล่ เอส เอ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้
เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเลิกบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด
ซึ่งกระบวนการพิจารณาคำร้องเพื่อขอเลิกบริษัทอยู่ในการพิจารณาของศาล
ต่อมา “เนสท์เล่” ได้ออกหนังสือแจ้งลูกค้า อันได้แก่ ผู้ประกอบการร้านค้าปลีกต่าง ๆ
ทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 ให้รับทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
และแจ้งว่าบริษัทฯ
จะไม่สามารถรับคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์เนสกาแฟจากร้านค้าเหล่านี้ได้
โดยมีผลตั้งแต่บัดนี้จนกว่าจะมีการแจ้งให้ทราบภายหลัง ในช่วงเวลาระหว่างนี้
ร้านค้าปลีกที่มีผลิตภัณฑ์เนสกาแฟอยู่ในร้าน ยังสามารถจำหน่ายได้ตามปกติ
เนสท์เล่
มีความกังวลอย่างยิ่งถึงผลกระทบอันใหญ่หลวงที่จะเกิดขึ้นจากคำสั่งศาลนี้
ซึ่งจะส่งผลในการสูญเสียรายได้ของผู้ประกอบการรายย่อย
รวมทั้งร้านกาแฟขนาดเล็ก
รถเข็นขายกาแฟที่จะไม่มีผลิตภัณฑ์เนสกาแฟจำหน่ายและการปรับเปลี่ยนสูตรการชงและวัตถุดิบที่ใช้
ยังอาจส่งผลต่อรสชาติที่เปลี่ยนไป
ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ประจำวันของผู้ประกอบการรายย่อยเหล่านี้
อีกทั้งยังส่งผลต่อการขาดรายได้ของพนักงานของลูกค้าและคู่ค้าซัพพลายเออร์ในห่วงโซ่ของเนสกาแฟที่เคยสามารถจัดส่งวัตถุดิบต่าง
ๆ ให้กับเนสกาแฟแต่ต้องหยุดชะงักลง
รวมไปถึงเกษตรกรไทยผู้เพาะปลูกกาแฟและเกษตรกรโคนมไทย
จะไม่สามารถจำหน่ายผลผลิตเพื่อเป็นวัตดุดิบให้เนสกาแฟ
เนื่องจากคำสั่งศาลห้ามผลิต
และว่าจ้างผลิต เนสกาแฟในประเทศไทย ในทุก ๆ ปี
เนสกาแฟรับซื้อเมล็ดกาแฟดิบพันธุ์โรบัสต้าในปริมาณมากกว่าครึ่งหนึ่งของผลผลิตทั้งหมดที่ปลูกได้ประเทศไทย
นอกจากนี้
ผู้บริโภคจำนวนหลายล้านคนในประเทศไทยและผู้บริโภคในตลาดส่งออกของเนสกาแฟจะไม่มีผลิตภัณฑ์เนสกาแฟดื่ม
เนสท์เล่ จะดำเนินการอย่างเต็มที่ในการแก้ไขสถานการณ์นี้
และกำลังดำเนินการยื่นคำร้องคัดค้านเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวดังกล่าวต่อศาล
พร้อมยื่นข้อมูลที่ครบถ้วนแก่ศาลแพ่งมีนบุรีเพื่อการพิจารณาคำร้อง
ทั้งนี้ เนสท์เล่จำหน่ายผลิตภัณฑ์แบรนด์ต่าง ๆ ในประเทศไทยมานานกว่า 130 ปี
และได้ลงทุนกว่า 22,800 ล้านบาทในประเทศไทยในระหว่างปี 2561-2567
โดยเนสท์เล่ยังคงเดินหน้าลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
เพื่อประโยชน์แก่ผู้บริโภค พนักงาน เกษตรกรที่ทำงานร่วมกัน
ตลอดจนพันธมิตรทางธุรกิจ และคู่ค้า