หญิงจีนซื้ออพาร์ตเมนต์ทิ้งไว้ 28 ปี รู้อีกทีมีคนยึดบ้าน ยกมาอยู่ทั้งครอบครัว ชี้ตั้งรกรากมา 20 กว่าปี งัดกุญแจเข้ามาอยู่เฉย ๆ ไม่คิดว่าจะโดนทวงบ้านคืน
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้่อหา
วันที่ 24 กันยายน 2567 เว็บไซต์ Soha รายงานเรื่องราวชวนปวดตับที่เกิดขึ้นในประเทศจีน เมื่อหญิงรายหนึ่งได้ซื้ออพารต์เมนต์ยูนิตหนึ่งไว้ที่นครเซินเจิ้น มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน แต่หลังจากที่เธอปล่อยห้องว่างไว้นานถึง 28 ปี ใครจะคิดว่าส่งคนไปดูอีกที กลับมีคนแปลกหน้าเข้ามายึดครอง แถมยังเรียกร้องขอเงินชดเชย 200,000 หยวน หรือราว 936,000 บาท (ตามอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน) หากต้องการให้ย้ายออก
จุดเริ่มต้นของเรื่องราว
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2535 นางจาง ได้ซื้ออพาร์ตเมนต์ดังกล่าวไว้ในราคากว่า 300,000 หยวน หรือราว 1.4 ล้านบาท แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปอยู่อาศัย เธอกับครอบครัวก็ย้ายไปใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศ และลืมเรื่องอพาร์ตเมนต์แห่งนี้ไป จนกระทั่งปี 2563 หรืออีก 28 ปีต่อมา ลูกสาวของนางจากเรียนจบจากมหาวิทยาลัยที่ต่างประเทศ และตัดสินใจย้ายกลับมาใช้ชีวิตที่ประเทศจีน โดยจะเริ่มทำธุรกิจกับเพื่อน นายจางจึงเสนอจะยกอพาร์ตเมนต์ที่เคยซื้อไว้ให้ลูกสาวใช้งาน
ลูกสาวของนางจางตกลงรับข้อเสนอนั้นทันที เพราะมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ในเซินเจิ้นนั้นพุ่งสูงมาก ค่าเช่าที่อยู่ก็แพงไม่น้อย การมีที่พักฟรีเช่นนี้จะช่วยให้เธอกับเพื่อนสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้มาก
นางจางเกรงว่าลูกสาวจะมีปัญหาตอนย้ายเข้าอพาร์ตเมนต์ เนื่องจากเธอซื้ออพาร์ตเมนต์แห่งนี้ไว้นานแล้ว จึงให้พี่ชายของเธอที่อาศัยอยู่ที่เซินเจิ้นไปตรวจเช็กอพาร์ตเมนต์แห่งนี้ให้ก่อน แต่ใครจะคิดว่าเมื่อพี่ชายไปถึง อพาร์ตเมนต์ที่ควรจะว่างเปล่าและมีฝุ่นจับ กลับถูกทำความสะอาดไว้เป็นอย่างดี แถมยังมีการตกแต่งบริเวณประตูห้อง
พี่ชายของนางจางเห็นประตูปิดอยู่ จึงลองเคาะประตู แล้วก็ต้องอึ้งเมื่อมีคนเปิดประตูห้องออกมา อ้างตัวเป็นเจ้าของห้องคนปัจจุบัน โดยบอกว่าพ่อของเขาเป็นคนซื้ออพาร์ตเมนต์นี้ไว้
เหตุการณ์ชุลมุน ใครคือเจ้าของห้องตัวจริง
ด้วยความประหลาดใจ พี่ชายของนางจางจึงตรวจเช็กดูสัญญาซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับจากน้องสาวอีกครั้ง เขามั่นใจว่าสัญญาฉบับนี้ไม่มีข้อผิดพลาดใด ๆ และตัวเองก็ไม่ได้มาผิดบ้าน จากนั้นเขาจึงติดต่อหาบริษัทที่ดูแลอพาร์ตเมนต์แห่งนี้ทันที
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกรอบ เมื่อบริษัทที่ดูแลอพาร์ตเมนต์แห่งนี้เพิ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2561 และทางบริษัทก็ไม่ได้ตรวจสอบอะไรเพิ่มเติมหลังเข้ามารับช่วงดูแลอพาร์ตเมนต์นี้ พวกเขาพบว่าในทุก ๆ ปี “เจ้าของห้อง” ดังกล่าวจะชำระค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอย่างต่อเนื่อง จึงไม่พบเห็นสัญญาณผิดปกติใด ๆ
จากนั้นพี่ชายของนางจางก็พยายามติดต่อคนที่อาศัยอยู่ในห้องอีกครั้ง แต่คู่กรณียังอ้างแค่ว่าพ่อเขาซื้ออพาร์ตเมนต์นี้ไว้แล้ว และปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลอื่น ๆ ท่าทางผิดปกตินี้ทำให้พี่ชายของนายจางรู้ว่าอีกฝ่ายมีเรื่องปิดบัง เลยตัดสินใจเรียกตำรวจมาทันที
ความจริงเปิดเผย
เมื่อเห็นว่าทางนี้เอาจริงและมีตำรวจบุกมาถึงที่
ในที่สุดคู่กรณีก็ยอมออกมาเจอพี่ของนางจาง
และยอมรับว่ามีปัญหาเกิดขึ้นตอนที่เขาซื้ออพาร์ตเมนต์
กลายเป็นว่าตอนที่คู่กรณีตั้งใจจะซื้ออพาร์ตเมนต์
เขาประเมินแล้วว่าสถานที่นี้มีทำเลที่ดีและราคาถูก
เนื่องจากเขากลัวว่าจะมีคนอื่นซื้อตัดหน้า
จึงรีบทำสัญญาและโอนเงินให้โบรกเกอร์ทันที
แม้ทางโบรกเกอร์จะไม่ได้ออกเอกสารรับรองในอสังหาริมทรัพย์
รวมถึงไม่ได้ส่งมอบกุญแจบ้านให้
จนเมื่อเขามาถึงสถานที่นี้ คู่กรณีพบว่าเขาไม่สามารถเข้าห้องได้
แถมยังติดต่อทางโบรกเกอร์ที่ทำสัญญาไม่ได้ จึงรู้ตัวว่าถูกโบรกเกอร์หลอก
แต่เขาก็ไม่อยากจ่ายเงินเปล่า จึงติดต่อช่างให้มางัดกุญแจ
และทำการรีโนเวตปรับปรุงห้องใหม่
ก่อนจะย้ายเข้ามาใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวที่อพาร์ตเมนต์แห่งนี้
ความจริงที่ได้รับฟังทำให้พี่ชายของนางจางโกรธจัด ถึงกับถามว่า “ครอบครัวคุณซื้ออพาร์ตเมนต์มาราคาถูกขนาดนี้
ไม่เอะใจบ้างเลยหรือไงว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง”
ขณะที่คู่กรณียอมรับว่า ช่วงแรก ๆ
ที่เขาย้ายเข้ามาอยู่ก็กังวลว่าจะเกิดปัญหา ช่วง 2
ปีแรกผ่านไปด้วยความหวาดระแวง แต่หลังจากใช้ชีวิตอยู่มานานกว่า 20 ปี
เขาก็พบว่าไม่เคยมีใครมาเคาะประตูห้องเพื่อเอาเรื่อง
แถมบริษัที่ดูแลจัดการอพาร์ตเมนต์ก็เปลี่ยนมือหลายครั้ง
สุดท้ายเขาจึงคิดว่าคงไม่มีปัญหาใด ๆ ให้กังวล
และทำการปรับปรุงห้องเพื่อพักอาศัยอย่างสบายใจ
แต่เขานึกไม่ถึงกว่าสุดท้ายเจ้าของอพารต์เมนต์ตัวจริงจะโผล่มาทวงห้องคืน
อย่างไรก็ตาม เขาไม่อยากจะเสียที่พักแห่งนี้ไป
จึงหลบเลี่ยงไม่ยอมติดต่อกับอีกฝ่าย และในตอนนี้ที่ถูกจับไต๋ได้
เขาก็ยังยืนกรานไม่ยอมย้ายออก โดยอ้างว่า “ถ้าคุณต้องการให้เราย้ายออก
ก็ต้องจ่ายเงินชดเชยให้เรา 200,000 หยวน ถ้าไม่ได้เงิน เราก็ไม่ไป !”
คู่กรณีอ้างว่าเงินจำนวนดังกล่าว
คือค่าใช้จ่ายในการตกแต่งและบำรุงบ้านที่ตนเองอยู่มานานกว่า 20 ปี
อีกทั้งหากตนเองย้ายออก
ก็ยังมีเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านที่ขนออกไปไม่ได้
ซึ่งนางจางควรจ่ายเงินชดเชยส่วนนี้
เมื่อเผชิญคำร้องขอที่ไม่สมเหตุสมผล ทางนางจางจึงเตือนว่า
หากคู่กรณีต้องการเงิน 200,000 หยวนจริง ๆ
พวกเขาก็จำเป็นต้องจ่ายเงินค่าเช่า สำหรับการเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านนี้ตลอด
20 กว่าปีที่ผ่านมาเสียก่อน
บทสรุปของเรื่องราว
เพื่อยุติข้อพิพาทเรื่องกรรมสิทธิความเป็นเจ้าของอพาร์ตเมนต์
นางจางจำเป็นต้องหาใบรับรองอสังหาริมทรัพย์มายืนยัน
เพื่อพิสูจน์ว่าอพารต์เมนต์แห่งนี้เป็นของเธอ
แต่เนื่องจากตอนทำเรื่องซื้อ-ขาย เมื่อ 28 ปีก่อน
เธอยุ่งกับงานมากจนไม่ได้ไปยื่นขอเอกสารดังกล่าว
นางจางจึงต้องติดต่อไปหานักลงทุนอีกครั้ง
ซึ่งการออกเอกสารย้อนก็ยังคงเป็นเรื่องยุ่งยากเช่นกัน
นางจางเสียเวลาอีกนานหลายเดือนในการเดินเรื่องเพื่อขอใบรับรองดังกล่าว
จนสุดท้ายเธอก็หมดแรง อย่างไรก็ตาม
ในที่สุดความพยายามเจรจาของเธอกับคู่กรณีก็ประสบผลสำเร็จ
คู่กรณียอมย้ายออกไปโดยไม่ได้เงินชดเชยใด ๆ
ขณะที่เธอก็ไม่ได้เอาเรื่องอีกฝ่ายเพิ่มเติม
เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายก็ถูกหลอกในตอนแรก ทำให้เรื่องราววุ่น ๆ
ของการทวงบ้านจบลง และเธอก็เพิ่งได้ใบรังรองอสังหาริมทรัพย์ในเวลาต่อมา
ขอบคุณข้อมูลจาก Soha