z

Akarachai บทความพิเศษ – February 2016

February 1, 2016 Edition

บทความพิเศษ

โดย อัครชัย

กฏหมาย : ฆราวาสปกครองพระ

พระไตรปิฎก มหาปรินิพพานสูตร ได้บันทึกเหตุการณ์  ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพานว่า พระอานนท์ ซึ่งเป็นพุทธอุปัฏฐาก(ผู้รับใช้พระพุทธองค์) ได้ทูลถามว่า “เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้ว จะตั้งใครเป็นศาสดาแทน”

พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า  “ดูกร อานนท์  ธรรมวินัย ที่เราได้แสดง และบัญญัติไว้ดีแล้ว  นั่นแหละจักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย  เมื่อเราล่วงไปแล้ว”

พร้อมกับตรัสปัจฉิมโอวาท  คือ พระดำรัสครั้งสุดท้าย ความว่า  “หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว วะยะ ธัมมา สังขารา อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ”  แปลว่า ” ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา  ท่านทั้งหลายจงตั้งอยู่ในความไม่ประมาทเถิด”

“ธรรมะ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และ พระวินัย (สีลสิกขาบท) ที่พระพุทธเจ้าได้ประทานไว้แล้ว เป็นข้อปฏิบัติเพื่อความดีงาม เพื่อให้พุทธบริษัทได้ดับทุกข์”  นั่นคือเนื้อหาที่แท้จริงของพระพุทธศาสนา

“พระพุทธศาสนา”  จะดำรงตั้งมั่นอยู่ได้ด้วยอาศัย  พุทธบริษัททั้ง ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา

ภายหลังพุทธปรินิพพาน  ประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้ว่า พุทธศาสนาได้เสื่อมจากประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศต้นกำเนิด เมื่อศึกษา สาเหตุที่พุทธศาสนาเสื่อมจากหลาย ๆ ประเทศ  เกิดจากภัย ๒ ด้าน คือ ภัยภายใน และ ภัยภายนอก

ภัยภายใน คือ เกิดจากพุทธบริษัททั้ง ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไม่ศึกษา ไม่ปฏิบัติตามธรรมวินัย   เกิดสัทธรรมปฏิรูป (คือ สอนธรรมวินัยผิดจากพุทธพจน์ ส่งผลให้ปฏิบัติผิดทาง)  เกิดยศ ช้าง ขุนนาง พระ  มุ่งหาลาภสักการะ  แย่งอำนาจ  แตกแยกออกเป็นฝักฝ่ายหลายนิกาย

ภัยภายนอก  เกิดจากลัทธิศาสนาอื่นเบียดเบียน  ฆ่าพระ ฆ่าชาวพุทธ ทำลายสถานที่  เช่น มหาวิทยาลัยนาลันทาในประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยพุทธศาสนาที่ใหญ่ที่สุดแห่งแรกของโลก  ถูกเผาทำลาย ทำให้สูญเสียอาคาร สถานที่ ตำรับตำรา ประมาณค่ามิได้

หากชาวพุทธทั้งหลาย ซึ่งมีพระ กับ ฆราวาส ในฐานะเป็นพุทธบริษัท เป็นผู้สืบต่ออายุพระพุทธศาสนาร่วมกัน โดยไม่เพิกเฉยว่า เป็นหน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง ปฏิบัติตาม “ธรรมวินัย”  ที่พระพุทธองค์ฝากไว้ อย่างเคร่งครัด ปัญหาต่าง ๆ จะไม่เกิดขึ้น

ต้องยอมรับความจริงว่า  “สถาบันสงฆ์” ในฐานะ เป็น “องค์กร” ทางพุทธศาสนา  เป็นหน้าเป็นตาของ “พุทธบริษัท๔”   มีความอ่อนแอทั้งระบบ นับจากมหาเถรสมาคม ลงมา อ่อนแอทั้งการปกครอง  การศึกษา การเผยแผ่ และสาธารณูปการ

-๒-

การปกครอง ที่ไม่สามารถดูแลปกครองให้เกิดความเรียบร้อยดีงามได้ตามธรรมวินัย  การกลั่นกรองผู้มาบวช  คนออกจากคุก ผู้ติดยา นักเลงอันธพาล สามารถบวชได้โดยง่าย  รวมถึงไม่มีกฏหมายอาญาลงโทษผู้กระทำผิดขั้นปาราชิก ซึ่งมีเรื่องเสียหายมากมาย  ที่ทำให้เสียภาพลักษณ์ของสงฆ์ส่วนรวม

การศึกษาของสงฆ์   ที่ยังล้าหลัง ระบบท่องจำ สอบวัดผลปีละ ๑ ครั้ง ทำให้ผู้เรียนและคนรุ่นใหม่เบื่อหน่าย ไม่มีพระเณรเรียนหนังสือ ขาดครูสอนพระปริยัติธรรม  วัดร้างเกิดขึ้นมากมายในต่างจังหวัด  ชาวบ้านบวชกันตามประเพณี  เด็กเลี้ยงควาย จบ ป. ๔ บวชอยู่วัดบ้านนอก พอห่มจีวรเป็นพระ ยังไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน  สามารถขึ้นธรรมาสน์จับใบลานอ่านสอนคนได้ทั้งหมู่บ้าน ไม่นานก็ตั้งตนเป็นเกจิอาจารย์  เป็นผู้วิเศษหลอกลวงคน  เช่น กรณีเณรแอร์ เณรคำ  และที่ไม่เป็นข่าวอีกมากมาย

การเผยแผ่ธรรมะ  ที่ต่างคนต่างทำ  วัดไหนจะทำอะไรก็ได้  อยู่เฉย ๆ ก็มีข้าวกิน  ไม่มีฝ่ายฝึกอบรม  ไม่มีการตรวจสอบความถูกต้อง ไม่มีหน่วยงานคอยสนับสนุนดูแลควบคุม สถานีวิทยุธรรมะเกิดขึ้นมากมาย พูดผิดพูดถูก กลายเป็นแหล่งหาเงินหาผลประโยชน์ก็มี

วัดและพระที่ทำงานเผยแผ่ธรรมะที่ดี ๆ มีมากมายหลายแห่ง ที่ทำงานเป็นหน้าเป็นตาให้คณะสงฆ์ส่วนรวม  แต่ต้องพึ่งตนเอง หาเงินค่าใช้จ่ายเอง  ไม่มีงบประมาณให้   มหาเถรสมาคมไม่เคยลงไปดูรากหญ้า  เพราะวัน ๆ มีแต่เรื่องกิจนิมนต์ สวดมนต์ ฉันเพล เจิมฯ

งานสาธารณูปการ  คือ งานพัฒนาวัด  การก่อสร้างต่าง ๆ ภายในวัด  บางวัดสร้างสะเปะสะปะ ไม่มีแบบแปลน บางวัดรกรุงรังเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างและไม่ได้ใช้ประโยชน์ เช่น  หอระฆัง หรือโบสถ์ราคาหลายสิบล้าน แต่ใส่กุญแจไว้ นานๆ จะเปิดใช้ แถมวัดไหนมีมูลค่าก่อสร้างยอดเงินสูง ๆ เจ้าอาวาสมีโอกาสจะได้แต่งตั้งและเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูฯ เป็นเจ้าคุณฯ จึงเป็นที่มาของการสร้างวัตถุมากกว่าการพัฒนาจิตใจ

หาก “พระสงฆ์” ยึดตามหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าอย่างแน่วแน่มั่นคง ไม่หลงอยู่กับการแบ่งแยกนิกาย  ไม่ติดอยู่กับ  กิน  กาม เกียรติ  ไม่ติดใจในรสอำนาจ วาสนา ยศ ช้าง ขุนนาง พระฯลฯ ใครก็ทำอะไรไม่ได้ เช่น หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ ท่านไม่เคยสนใจใยดีกับยศถาบรรดาศักดิ์  แต่มุ่งมั่นอยู่กับงานนำธรรมะมาสอนคนให้จิตใจสูงขึ้น

ความไม่มีเอกภาพของคณะสงฆ์ ส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาเรื่องนิกาย คือ มหานิกาย กับ ธรรมยุติ เป็นการเมืองคณะสงฆ์ที่สืบทอดมายาวนานจากอดีตถึงปัจจุบันที่แก้ไม่ได้  แม้ภาพภายนอกจะมองว่าสามัคคี

ปรองดอง  แต่ภายในยอมกันไม่ได้  จึงสะท้อนให้เห็นว่า “แม้สังคมสงฆ์ผู้ประกาศตนว่าเป็นสมณะ” ก็ยังไม่สามารถลด ละ  เลิกได้  ยิ่งนานวันยิ่งเพิ่มพูนทิฏฐิมานะมากขึ้น ด้วยอาศัยผ้ากาสาวพัสตร์ห่อหุ้มร่างกาย  ชอบสอนคนอื่น แต่ไม่สอนตนเอง

-๓-

“กฏหมายคณะสงฆ์” ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ “คณะสงฆ์อ่อนแอ”  “พ.ร.บ.ปกครองสงฆ์ ฉบับปี ๒๕๐๕”  ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน  เกิดขึ้นในยุคเผด็จการของ จอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์   ขาดการประชาพิจารย์ ขาดผู้มีความรู้ความสามารถและผู้เชี่ยวชาญด้านพระศาสนาเข้าไปมีส่วนร่วม  ต่างจากการร่างรัฐธรรมนูญในปัจจุบัน และใช้ปกครองสงฆ์มายาวนานกว่า ๕๐ ปี โดยมีการปรับปรุงแก้ไขเล็กน้อย ในปี พ.ศ.๒๕๓๕

หลายปีที่ผ่านมา มีกลุ่มพระนักการศึกษาหัวก้าวหน้า พร้อมด้วยคนรุ่นใหม่ เห็นว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้ล้าหลัง ไม่ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของสังคม จึงเสนอให้มหาเถรสมาคมมีการแก้ไขปรับปรุงหรือมี พ.ร.บ.ฉบับใหม่ แต่ “มหาเถรสมาคม” ก็กลัวจะเสียอำนาจ ไม่ยอมแก้ไขใดๆ เสวยสุขกันมานานโดยไม่มีวาระผลัดเปลี่ยน  แถมสร้างทายาทตัวเองสืบทอดอำนาจต่ออีก

เมื่อ “สถาบันสงฆ์” ไม่สามารถพัฒนาศักยภาพให้เข้มแข็งเป็นที่พึ่งของสังคมได้ จึงเกิดคนที่คิดต่าง  และเห็นว่า แนวทางและข้อปฏิบัติที่มีอยู่ในเวลานี้ไม่ดีพอ และมองเห็นความอ่อนแอล้าหลังของมหาเถรสมาคม จึงเกิด กรณีธรรมกาย  กรณีโพธิรักษ์  กรณีพระคึกฤทธิ์   กรณีพุทธอิสระ และกรณีอื่นๆ อีกมากมาย และมหาเถรสมาคม  ก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้

สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)  ได้แต่งตั้ง นายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์พระพุทธศาสนา  เพื่อต้องการปฏิรูปคณะสงฆ์ใหม่  โดยการเขียนกฏหมายใหม่ ที่เรียกว่า “กฏหมายฆราวาสปกครองพระ” เพื่อขีดเส้นให้พระเดินตาม เช่น ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน ฯ และเรื่องอื่น ๆ  แต่ยังทำไม่สำเร็จ  หากสำเร็จขึ้นมา ก็สมน้ำหน้ามหาเถรสมาคม

การปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์พระพุทธศาสนา น่าจะเป็นเรื่องที่ดี เพื่อปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้งานของคณะสงฆ์พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่เพราะเหตุใด จึงไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมสงฆ์และพุทธศาสนิกชนอีกจำนวนมาก  คำตอบก็คือ เพราะนายไพบูลย์ นิติตะวัน ยังขาดความรู้และคุณธรรมความดี   ไม่สมควรที่จะมาทำงานใหญ่นี้

ทำไม “สถาบันสงฆ์” มีพระที่มีความรู้ความสามารถมากมาย  มีนักวิชาการศาสนา  ราชบัณฑิตด้านพุทธศาสนาก็มาก  แต่  สปช. ส่งนายไพบูลย์  นิติตะวัน มาปฏิรูปองค์กรสงฆ์  คำตอบก็คือ เพราะ  สปช.  ไม่เชื่อน้ำยา “มหาเถรสมาคม”

สังคมชาวโลก มีการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง พัฒนาให้องค์กรมีความเจริญขึ้น ให้เหมาะสมทันต่อความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย  แต่งานของ “คณะสงฆ์ไทย” หรือ  เรียกว่า งานของ “มหาเถรสมาคม” (เพราะกุมชะตาชีวิตของพระภิกษุสามเณรทั่วประเทศ) ยังอยู่ในสภาพเดิม ๆ เคยอยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น ไม่มีแผนพัฒนาเชิงรุก แม้แต่เชิงรับก็ไม่มี   มีแต่นั่งรอรับสังฆทาน

-๔-

ตรงข้ามกับแผนงานของศาสนาอื่นในประเทศไทย ที่มีศาสนิกเพียงเล็กน้อย  แต่ได้รับงบ ได้รับการสนับสนุนเต็มร้อย รุกคืบแก้กฏหมาย แผ่กิ่งก้านสาขาและเรียกหาการคุ้มครองสิทธิ์จากภาครัฐได้อย่างง่ายดาย

วัดวาอารามในเมืองไทยเรา มีความสวยงามตระการตา อวดโฉมต่อชาวโลกได้ แถมได้รับยกย่องว่า เป็นประเทศที่มีพุทธศาสนารุ่งเรืองที่สุดในปัจจุบัน   เมืองไทย เป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาโลก

เรางามแต่ภายนอก แต่ภายในกลวง

 

February 15, 2016 Edition

บทความพิเศษ

โดย อัครชัย

คนไทยในต่างแดน

งานและอาชีพของผม ได้พบปะลูกค้าฝรั่งวันละหลาย ๆ คน เปลี่ยนหน้าบ่อย ๆ และชอบถามผมว่า “คุณมาจากประเทศไหน?” ดูเหมือนคนถามจะลืมมารยาท คงเห็นหน้าตาเราเป็นคนเอเชีย แต่ผมก็ตอบทุกครั้งทุกคนที่ถาม “มาจากไทยแลนด์”  ด้วยความภาคภูมิใจ

ชาวต่างชาติคนหนึ่ง พอรู้ว่ามาจากประเทศไทย เขาพูดว่า เขาเคยไปเที่ยวเมืองไทยมา “ผู้หญิงไทยราคาถูก” ผมก็สวนกลับไปว่า “ผู้หญิงบ้านยูก็ราคาถูกเหมือนกัน” และถามกลับว่า “แม่ยูราคาเท่าไหร่?” มันก็เลยเงียบ

ฝรั่งหลายคนที่เคยไปเที่ยวเมืองไทยมา พอรู้ว่าเราเป็นคนไทย เขาพูดจากใจว่า เขาชอบเมืองไทยมาก หลายๆ ด้าน  เช่น อัธยาศัยไมตรีคนไทย  สถานที่ท่องเที่ยว อาหาร วัฒนธรรมประเพณีฯ

สังคมไทยถูกหล่อหลอมด้วยหลักธรรมของพุทธศาสนา มีวัฒนธรรมประเพณีเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่โดดเด่น แม้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ต่างประเทศ ก็ไม่ลืมวิถีชีวิตแบบเดิม มีการรวมกลุ่มกันเป็นชุมชนขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ มีวัดเกิดขึ้นหลายประเทศทั้งในอังกฤษ ออสเตรเลีย สวิสเซอร์แลนด์  เยอรมัน เดนมาร์ก นิวซีแลนด์ อเมริกาฯ

อยู่ต่างประเทศ  เวลาได้ไปวัด มีความรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้านเรา ได้พบปะพี่น้องคนไทย พี่น้องคนลาว  มาทำบุญตักบาตร  รับศีล สวดมนต์ ฟังเทศน์ และทานอาหารร่วมกัน

เทศกาลสำคัญ ๆ มีการจัดงานรื่นเริงในวัด เช่น ลอยกระทง สงกรานต์ ทอดกฐินฯ บางวัดสถานที่ไม่พร้อม ก็ไปเช่าหอประชุมเขาจัด  มีการประกวด ออกร้านขายของ ขายอาหาร ร้องเล่นเต้นรำสนุกสนานกันไปตามประเพณี คล้ายๆ กันทุกชุมชนไทยที่ย้ายมาอยู่ต่างแดน โดยเฉพาะในอเมริกา

พี่น้องคนลาว คนเขมร คนเวียตนาม คนจีน คนม้งฯ และประเทศอื่น ๆ ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกัน มีการรวมกลุ่มและสืบสานประเพณีของตนจากรุ่นสู่รุ่น

อีกไม่นานวัฒนธรรมและประเพณีไทย  ดังที่กล่าวมานี้ นับวันจะถดถอยมีน้อยลง หากคนรุ่นปัจจุบันนี้ตายหมด เพราะคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะเด็กที่เกิดในอเมริกา  เขาจะไม่เข้าใจซาบซึ้งกับมรดกทางวัฒนธรรมของบรรพบุรุษ เพราะเขาเติบโตที่นี่ มีวัฒนธรรมแบบอเมริกา และความเจริญด้านเทคโนโลยี

เหมือนเด็กวัยรุ่นในเมืองไทย ฟังเพลงเก่าไม่รู้เรื่อง และคนรุ่นเก่าก็ไม่เข้าใจเพลงสมัยใหม่  จึงเกิดช่องว่างระหว่างวัย

อย่าไปโทษคนรุ่นใหม่ เพราะสิ่งที่เขาสัมผัสอยู่ในปัจจุบัน  มันเป็นอีกโลกหนึ่ง และส่วนหนึ่งก็มาจากตัวอย่างของคนรุ่นเก่า ที่ประพฤติปฏิบัติให้เขาเห็น เช่น การไปวัด พ่อแม่เคยอธิบายให้ลูกฟังไหมว่า “พุทธ

-๒-

ศาสนาดีอย่างไร?” ไปวัดทำไม ? ไปแล้วได้อะไร?ทำไมต้องสมาทานศีล ทำไมต้องสวดมนต์ ทำไมต้องทำบุญ?  ทำไมชาวคริสต์ต้องไป Church ทุกวันอาทิตย์ ทำไมชาวมุสลิมต้องทำละหมาด ?

หากเด็กไม่รู้แจ้งเห็นจริง เขาก็นับถือพุทธศาสนาตามทะเบียบบ้านเหมือนพ่อแม่ และไม่สามารถไปอธิบายให้เพื่อนต่างชาติฟังให้เข้าใจ กลายเป็นเรื่องตลกขบขัน

วัดไทยในอเมริกา มีจำนวนมากแทบทุกรัฐ แต่ก็มีจำนวนน้อยมากที่สามารถ เปิดวัดให้เป็นโรงเรียนพุทธศาสนาสอนเด็กไทยที่เกิดในอเมริกา สอนภาษาไทย วัฒนธรรมไทยฯ

เพราะความไม่เข้มแข็งของชุมชนไทย ในเรื่อง “บวร” คือ บ้าน วัด โรงเรียน

ผู้เขียนเคยร่วมเป็นคณะกรรมการในยุคบุกเบิก โครงการสอนภาษาไทยละวัฒนธรรมไทย ให้เด็กไทยในอเมริกา ประชุมกันที่คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มี ศ.กิตติคุณ อำไพ สุจริตกุล  ศ.กิตติคุณสุมน อมรวิวัฒน์   ศ.ประภาศรี สีหอำไพ  รศ.พูนสุข บุณย์สวัสดิ์ และคณาจารย์อีกหลายท่านจำได้ไม่หมด ทางฝ่ายสงฆ์ มี พระธรรมราชานุวัตร(หลวงเตี่ย) วัดพระเชตุพนฯ และ ท่านเจ้าคุณ พระกิตติโสภณวิเทศ (เศรษฐกิจ สมาหิโต) วัดนาคปรก

มีการประชุมจัดทำแผนงาน จัดทำหลักสูตรภาษาไทย วัฒนธรรม ศิลปะ ดนตรีไทย นาฏศิลป์ฯ และอื่น ๆ โดยรับสมัครครูอาสาจากโรงเรียนต่าง ๆ ส่วนหนึ่งเป็นนิสิตปริญญาโท ภาควิชาประถมศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ มาอบรมเชิงปฏิบัติการ และอบรมธรรมปฏิบัติ แล้วส่งคณะครูอาสามาปฏิบัติงานที่วัดไทยลอสแองเจลีสเป็นแห่งแรก และ มีโครงการต่อเนื่องถึงปัจจุบันผ่านไปแล้วหลายรุ่น

วัดไทยในอเมริกา ที่มีความพร้อม ชุมชนไทยเข้มแข็ง สามารถประสานและทำโครงการนี้ได้ตลอดเวลา

ผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่ดูแลเรื่องวัด ไม่ว่าจะเป็น  เจ้าอาวาส  พระภิกษุในวัด หรือคณะกรรมการบริหารวัด(บอร์ด) ก็ต้องคิดไปไกลถึงอนาคตตว่า  “วัด” จะมีแผนพัฒนาไปในทิศทางใด ในระยะเวลา ๑ ปี ๒ ปี หรือ ๑๐-๒๐ ปีข้างหน้า เพื่อประโยชน์ส่วนรวมแก่ชาวพุทธโดยทั่วไป

คนที่ไปวัดควรจะได้อะไร ? ควรได้ยินได้ฟังเรื่องดี ๆ ฟังเสียงสวดมนต์  ฟังธรรม จิตใจสงบเบิกบานได้ทำบุญ ได้ยินเสียงสาธุแซ่ซ้อง มี มหาอุบาสิกา มีมหาอุบาสก ผู้ใจบุญ ผู้เสียสละ มีผู้มาช่วยกันทำนุบำรุงพระศาสนาของพระพุทธเจ้า เต็มวัด

แต่เวลานี้หลายวัด พอเดินเข้าไปมีเสียงนินทาว่าร้าย วัดนั้นมีเจ้าแม่  วัดนั้นมีเจ้าพ่อ วัดนี้มีเจ้าของ ฉันไม่อยากไปทำบุญวัดนั้น ฉันไม่อยากเห็นหน้าคนบางคนในวัดนี้  พระวัดนี้ทะเลาะกัน ฯลฯ นี่มันเกิดอะไรขึ้น ! ทุกคนที่เดินเข้าวัดจะต้องมีความรู้สึกหนึ่งเดียวคือ วัดเป็นศาสนสมบัติกลาง เป็นของชาวพุทธทุกคน พระสงฆ์ต้อง เป็นเนื้อนาบุญ เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธา และไม่มีสังฆเภทภายในวัด

-๓-

นอกจากเรื่องวัดแล้ว เรื่องการรวมกลุ่มของคนไทย ที่เรียกว่า “สมาคมไทย”  หากจะมีใครสักคนคิดจะตั้งสมาคมไทยขึ้นมาอีก  จะต้องทำกันอย่างมีระบบแบบแผน ทำอย่างจริงจัง  และต่อเนื่อง มีวัตถุประสงค์  วางกฏระเบียบอย่างชัดเจน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อชุมชนไทยอย่างแท้จริง เป็นรูปธรรมสัมผัสได้  เพื่อเป็นแบบอย่างแก่คนรุ่นหลัง

มิใช่เหมือนอดีตที่ผ่านมา นอกจากไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันแล้ว ยังมีข่าวทะเลาะวิวาทบาดหมางและเล่นสงครามน้ำลายใส่กันอีก คนรุ่นใหม่ ๆ ก็ไม่มีใครอยากเข้ามายุ่ง จะหาคนทำงานก็ยาก หาคนมาสนับสนุนก็ไม่มี เพราะตัวอย่างจากคนรุ่นก่อน ๆ

คนรุ่นใหม่ เขาอาจคิดใหม่ ทำใหม่ ไม่จำเป็นต้องยึดติดในรูปแบบเดิม ๆ คือ เมื่อมองเห็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ทั้งหลายทำกันมา ไม่เกิดประโยชน์ ก็อย่ามีสมาคมไทยเสียดีกว่า ใครจะตั้งกลุ่ม ตั้งชมรม ตั้งสมาคม อะไรก็ได้ในกลุ่มของตน ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับใคร เหมือนหลายๆประเทศที่เขาทำกัน

เพราะการย้ายถิ่นฐานของคนไทยมาอยู่ต่างแดน แตกต่างจากชนชาติอื่น ทุกคนมาแสวงหาโอกาส มาสร้างชีวิตใหม่ ต้องดิ้นรนต่อสู้พึ่งพาตนเอง จึงไม่ค่อยสนใจงานส่วนรวมมากนัก ต่างจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่มาโดยระบบศูนย์อพยพ ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลที่นี่ และไม่คิดจะกลับไปอยู่ประเทศเดิมอีก จึงเกาะกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่น  ส่วนคนไทยจำนวนมาก ยังมีความรู้สึกว่า อยากกลับไปอยู่บ้านเกิดเมืองนอนเมื่อตนเองพร้อมและมีฐานะการเงินดีแล้ว

การรวมกลุ่มของคนไทย จึงมักไม่ค่อยยั่งยืนและมั่นคง เพราะทิฏฐิมานะไม่ยอมกัน ต่างเอาตัวเองเป็นมาตรฐานคิดว่า ตนเองมีฐานะ มีวุฒิการศึกษา มีความสามารถฯ จึงทำงานเป็นทีมไม่ได้ ต้องทำงานแบบโดดเดี่ยว เหมือนนักมวยไทย ได้แชมป์โลกหลายคน แต่ทีมฟุตบอล ยังไปไม่ถึงดวงดาว

การรวมกลุ่มของคนไทย จึงเหมือนการรวมเพื่อ “ความแตกแยก” เช่น สมาคมไทย หรือวัดที่เกิดขึ้นมากมาย มิได้หมายความว่า พุทธศาสนารุ่งเรืองในอเมริกา แต่เป็นเพราะว่า คณะกรรมการวัด(บอร์ด) ทะเลาะวิวาทกันแล้วแยกตัวไปสร้างวัดใหม่ขึ้นเรื่อย ๆ

ในลาสเวกัส แม้จะมีคนไทยอาศัยอยู่จำนวนมาก  แต่ก็มีคนไทยจำนวนไม่น้อย ที่ไม่เปิดเผยตัวตน ไม่ไปวัด ไม่ไปร่วมงานรื่นเริงบันเทิงต่าง ๆ ไม่ให้การสนับสนุนงานส่วนรวมใด ๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสังคมคนไทยด้วยกัน มีชีวิตอยู่กับการทำงาน มีกิจกรรมอยู่กับเพื่อน ๆ เฉพาะกลุ่ม   เขาให้เหตุผลว่า  การรู้จักและเข้าร่วมงานกับคนไทยจำนวนมาก ๆ เรื่องเยอะ เรื่องมาก ปากเสียฯ เขาจึงจำกัดขอบเขตในการคบคน คบได้เฉพาะคนที่ควรคบ มีเพื่อนไม่มากแต่มีความรักจริงใจต่อกัน นอกนั้นเจอหน้า ทักทาย แล้วก็อยู่ห่าง ๆ

นึก ๆ ดูก็น่าสงสารประเทศไทย ที่เกิดมามีคนไทย

About the author

LasVegasNews

Leave a Comment

Translate »